วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

รวมแบบห้องนอนสีส้ม - เหมาะกับคนเกิดวันอังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์


สำหรับผู้ที่คิดจะแต่งห้องให้เป็นโทนสีส้ม เนื่องจากโทนสีส้มเป็นโทนที่ค่อนข้างร้อน ดังน้นผมขอเสนอรูปแบบที่ใช้สีส้มแบบพาสเทล ที่ไม่จัดจ้านจนเกินไป หรือ ไม่ก็ใช้การผสมระหว่างส้มกับขาว โดยสีส้มจัดๆจะช่วยเน้นห้องให้ดูโดดเด่น ห้องนอนสีส้มจะเหมาะกับ คนที่เกิดวันอังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ / อังคารและพฤหัสให้ลาภ ให้สิริมงคล มีเงินทอง / พุธ เสริมสร้างอำนาจ บารมี / ศุกร์ มีผู้อุปถัมภ์ค้ำชู
เป็นสีประจำวันของวันพฤหัส

รูปภาพประกอบจาก homesdir.net/
เฟอร์นิเจอร์ในห้องทั้งหมดเป็นสีส้มพาสเทล ช่วยให้ห้องดูสว่างและสดใส พื้นใช้พรมสีส้มเข้ม เพื่อให้ไม่น่าเบื่อจนเกินไปนัก สีส้มจะช่วยกระตุ้นให้ตื่นเต้นมีชีวิตชีวา ในห้องมีตู้เก็บของหลายใบ เล่นระดับความสูงตามพื้นที่ห้องใต้หลังคา

รูปภาพประกอบจาก mybegin.com
การใช้สีส้มอ่อน ตัดด้วยสีส้มเข้ม กระตุ้นให้ห้องดูสดใสมีพลัง ที่นอนและเก้าอี้ใช้สีน้ำเงิน-ฟ้า ตัดทำให้ดูไม่น่าเบื่อจนเกินไป ตู้เสื้อผ้าแบบเรียบๆ เน้นโชว์สีส้มพาสเทล และ ส่วนเข้ามุมที่ใช้อคิลิคเงาสีส้ม ช่วยสร้างมิติ

รูปภาพประกอบจาก skroutzondeck.com/
ตัวห้องออกแนวสีส้มเหลืองๆ เมื่อได้แดดยามเช้า ทำให้รู้สึกสดชื่นมีพลัง เฟอร์นิเจอร์ไม้สีออกแนวบีชๆ ใช้วอลเปเปอร์และม่านพับสีส้มลาย Stripe ทำให้ห้องไม่เรียบจนเกินไป

รูปภาพประกอบจาก nectokin.com/
พื้นหลักเป็นสีขาว ทำให้ห้องดูกว้างขวาง แต่สร้างความโดดเด่นด้วยการใช้ตู้สีส้ม นอกจากนี้ของตกแต่งเช่น หมอน เก้าอี้ ยังใช้สีส้มทำให้ดูโดดเด่นขึ้นมา พรมเช็ดเท้าทำเป็นรูปไข่เค็ม ดูขำขันดี

รูปภาพประกอบจาก nectokin.com/
การใช้โทนส้มและแดง บนพื้นขาว ใช้พรมสีเทาให้ดูสีมันกลมกลืนกันไป ตัวเตียง 2 ชั้น ผสมผสานไปกับตู้เสื้อผ้าได้อย่างลงตัว แต่สำหรับตู้ที่โดนบันไดขวางอาจจะใช้งานจริงไม่สะดวกมากนัก

รูปภาพประกอบจาก  homesdir.net/
เน้นสีส้มและขาว กระจายกันทั่วห้อง ตัวห้องด้านหลังรับแสงแดดเต็มที่ อีกทั้งสีขาวช่วยให้ห้องดูสว่างและกว้างขวาง สีส้มผสมเข้าไปให้ห้องดูโดดเด่น ตัดกันได้ดี เนื่องจากพื้นที่สีขาวมีเยอะกว่า ดังนั้นห้องจึงไม่รู้สึกร้อนมากจนเกินไป

ตารางสีเสริมดวงชะตา




สนใจตกแต่งห้องนอน ติดต่อเลยที่   TangYongFurniture.com



วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Classroom Design - Feng Shui For Learning

ในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมา มีนักทดลองที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับการจัดห้องเรียนอย่างใกล้ชิด พวกเขาสละเวลาเพื่อจัดโต๊ะเรียนภายในห้องเรียน โดยอิงกับเป้าหมายในแต่ละว่า หลังจากการทดลองบางอย่างก็ประสบผลสำเร็จ พวกเขาพบว่าการจัดห้องเรียนนั้นส่งผลต่อการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างแน่นอน 



การจัดวางรูปแบบของห้องตามจินตนาการของเรา มันควรจะมีส่วนช่วยในการขยายขอบเขตของการเรียนรู้   การปรับเปลี่ยนรูปแบบของห้องเรียนก็จะช่วยให้นักเรียนปรับเปลี่ยนรูปแบบมุมมองในการเรียนได้ด้วย  ไม่ควรที่จะยึดติดกับรูปแบบเดิมๆที่เอาแต่เรียงที่นั่งเป็นแถวๆแบบตัวใครตัวมัน  แนะนำให้ลองจัดรูปแบบใหม่ๆ อาศัยการใช้พื้นที่เพื่อสร้างความรู้สึกมีชีวิตชีวา สร้างประสบการ์ณใหม่ๆ และนั่นจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เด็กอยากจะเรียนมากขึ้น การจัดห้องบางรูปแบบก็จะช่วยให้เกิดเทคนิคการสอน หรือ การเรียนรู้แบบใหม่ๆ ผ่านการปรึกษาหารือในกลุ่ม หรือ ผ่านเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น พวกกระดาน SMART Board เป็นต้น การจัดห้องอาจจะเรียกได้ว่าเป็น การนำฮวงจุ้ยเข้ามาประยุกต์ใช้ในการจัดห้องเรียนเลยก็ว่าได้

เมื่อนักเรียนก้าวเข้ามาสู่ในห้องเรียนและพบกับรูปแบบใหม่ๆ พวกนักเรียนอาจจะชอบทั้งแบบที่คาดการ์ณไว้แล้ว หรือ แบบที่ไม่ได้คาดการ์ณมาก่อน (ครูมาแอบจัดไว้ล่วงหน้า) พวกเขาชอบการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าเขาจะไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะเจอแบบนั้น แต่เพราะว่ามันจะเป็นประสบการณ์ที่สำคัญอย่างนึงของพวกเขาเลยทีเดียว นักเรียนเริ่มต้นที่จะมีส่วนร่วมกับการเรียนรู้ผ่านการจัดห้องเรียนในรูปแบบใหม่ๆนี้  และสิ่งนี้มันจะช่วยเพิ่มพูนทักษะในเรื่องของการคิด การมีส่วนร่วมของกลุ่ม ความสามัคคี หรือ ภาวะผู้นำ นอกจากห้องเรียนจะถูกจัดในรูปแบบใหม่ๆแล้ว สื่อที่ใช้สำหรับการเรียน ก็ควรจะมีการปรับปรุงไปเพื่อให้เหมาะสมกับรูปแบบของห้องเรียนด้วยเช่นกัน


ในชั้นเรียนของผู้ทำการทดลอง โชคดีที่ห้องเรียนที่กำการทดลองมีโต๊ะกับเก้าอี้ไม้เดี่ยวๆที่แยกจากกัน ซึ่งยืดหยุ่นในการจัดด้วยรูปแบบที่หลากหลาย พวกเขาเอาโต๊ะครูวางไว้มุมซ้ายด้านหลังห้อง มีสมาร์ทบอร์ดอยู่หน้าห้อง การออกแบบจะเป็นไปตามรูปข้างล่างที่เห็น ซึ่งเป็นรูปแบบที่ค้นพบว่ามีประสิทธิภาพ


Senatorial (แบบรัฐสภา)  นี่คือรูปแบบการจัดที่นั่งแบบหนึ่งที่นักเรียนชื่นชอบ พวกเขาจะรู้ได้ทันทีเลยว่ารูปแบบการเรียนของวันนี้จะเป็นแบบอภิปราย ถกเถียงกัน ในห้องเรียน รวมถึงการนำเสนอผ่านสื่อต่างๆกลางหน้าห้อง การจัดห้องในลักษณะนี้ มักจะวางโพเดียมไวัตรงกลางห้อง เพื่อจะได้สะดวกต่อผู้พูด ในการเดินไปรอบๆอย่างทั่วถึง หรือแม้แต่ในช่วงที่เพื่อนมีpresentation การจัดห้องในลักษณะนี้จะสร้างบรรยากาศความเป็นกันเองให้นักเรียนที่ฟังอยู่ได้ปรึกษาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนรอบๆข้างได้



Independent (แบบอิสระ)  การจัดโต๊ะเรียนในรูปแบบนี้ เป็นการจัดโต๊ะตามรูปแบบการเรียนในสมัยก่อนที่จุดศูนย์กลางอยู่ที่อาจารย์ โดยที่นักเรียนจะถูกจัดให้นั่งแยกออกจากกัน  เพื่อให้สนใจแต่สิ่งที่อาจารย์กำลังพูด การเรียนการสอนในลักษณะนี้ค่อนข้างจะขัดแย้งกับหลักการเรียนการสอนในยุคปัจจุบันที่เน้นนักเรียนเป็นหลัก จึงไม่ค่อยนิยมนำมาใช้กันเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตาม การจัดโต๊ะในลักษณะนี้ถูกกลับมาใช้อีกครั้งในกรณีที่นักเรียนต้องทำงานเดี่ยว เช่น นักเรียนหนึ่งคน ต่อ computer หนึ่งตัวหรือ iPad หนึ่งเครื่อง ในกรณีที่นักเรียนนั่งแยกจะทำให้นักเรียนมีสมาธิ และสะดวกต่ออาจารย์ที่สามารถเดินดูการทำงานของนักเรียนรวมถึงให้คำปรีกษาได้ทั่วถึง อีกทั้งมีพื้นที่ในกรณีที่อาจารย์สามารถเอาเก้าอี้ตัวเล็กๆมานั่งข้างๆนักเรียนได้ 



Seminar (รูปแบบสัมนา)
  รูปแบบนี้จะช่วยให้ได้รับประโยชน์ของการสนทนาและการแบ่งปัน การเล่าเรื่องในหนังสือ และการให้ทำเวิร์คช็อปแบบที่ต้องใช้การเขียนจะเหมาะกับรูปแบบนี้ คุณครูจะนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งในนั้นและมีสถานะเท่ากับนักเรียนคนหนึ่ง แบบนี้จะให้ความรู้สึกที่ไม่มีผู้นำ ดังนั้นจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางความคิดที่มากกว่าแบบอื่น


Cooperative (แบบความร่วมมือ หรือ กลุ่ม)
  เป็นรูปแบบที่แสดงถึงการจัดกลุ่มอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งให้ประโยชน์ที่หลากหลาย นักเรียนจะถูกสอนให้รู้จักแก้ไขปัญหาแบบกลุ่ม คุณครูสามารถจะนั่งในกลุ่มที่ต้องการให้ความสนใจเป็นพิเศษก็ได้  


Pairs (แบบคู่ หรือ แบบพึ่งพา)
 แบบนี้มีประโยชน์มากเมื่อนักเรียนต้องใช้การแชร์ Laptop หนังสือ หรือ ทำงานร่วมกัน เป็นคู่ ในกรณีที่นักเรียนเป็นเลขคี่ตัวกลุ่มก็อาจจะจัดโต๊ะที่สามเพิ่มขึ้นมา การจัดแบบนี้จะเหมาะสมสำหรับการมีสื่อการเรียนบางอย่างที่ต้องปรีกษากันเป็นคู่ หรือ ทำโครงงานแบบคู่


partnered (แบบพาร์ทเนอร์) partnered (แบบพาร์ทเนอร์) รูปแบบนี้ต่างกับแบบคู่ คือเน้นให้นักเรียนหันหน้าเข้าหากันและมีการโต้ตอบกัน (Interaction) โดยลักษณะนี้คุณครูก็สามารถเดินดูในแต่ละกลุ่มได้ ยกตัวอย่างเช่นให้นักเรียนจะได้จำลองสถานะการณ์ว่าคนนึงเป็นทนายกำลังสอบสวนพยาน หรือเป็นตัวแทนจากพรรคเดโมแครทและรีพับบลิกันและให้อภิปรายกัน


Debate (แบบโต้วาที หรือ ดีเบท)  แต่ละทีมต้องนั่งแยกกันเืพื่อกำหนดกลยุทธ์ของตัวเอง และต้องหันหน้าเข้าหากัน อาจารย์จะอยู่ที่โพเดียมตรงกลางซึ่งจะไม่ค่อยมีบทบาืทอะไรมากในการเรียนการสอนลักษณะนี้ นักเรียนที่นั่งแต่ละโต๊ะจะเป็นผู้ดำเนินการอภิปราย SMARTboardตรงกลางมีไ้ว้เพื่อจดประเด็นที่สำคัญ



Theater (แบบโรงละคร)  เป็นอีกรูปแบบการเรียนที่ดีที่สุดอีกรูปแบบนึงที่นักเรียนไม่ต้องจดโน็ต ในกรณีนี้อาจไม่จำเป็นต้องมีโต๊ะเรียน การจัดห้องเรียนในลักษณะนี้ นักเีรียนจะนั่งเก้าอี้ใกล้ๆกัน ส่วนโต๊ะก็จะไปตั้งไว้ข้างห้อง อาจารย์จะเป็นผู้สังเกตการณ์ในขณะที่นักเรียนกำลังชมภาพยนต์ หรือสล้บไปดู SMARTboard หรือดู presentation ของเพื่อนๆ


Simulations (แบบการจำลอง) เปลี่ยนนักเรียนในกลายเป็นนักแสดงที่มีการสวมบทบาท ห้องเรียนเปรียบเสมือนเป็นบริบทที่จำลองจากโลกแห่งความเป็นจริง อาจจะจำลองการตัดสินของศาอาญาในคดีอาชญากรรม โดยจะมีนักแสดงเป็น โจทย์ จำเลย ผู้พิพากษา คณะลูกขุน มีส่วนที่เป็น แท่นทนายความและเก้าอี้ศาล หรือตัวโต๊ะจะถูกดันออกไปอยู่ด้านนอก ห้องเรียนอาจจะกลายเป็นการโหวดในรัฐสภา หรือ แม้แต่ปราสาทในยุคกลาง หรือค่ายทหารบริเวณชายแดน (จำลองยุทธวิธีการรบเลย)

Credit : http://theasideblog.blogspot.com/2012/05/classroom-design-feng-shui-for-learning.html
Special Thank : Chanya Vonghirunpinyo (คุณแฟน)
สนใจโต๊ะนักเรียน สั่งซื้อได้ที่นี่ www.tangyongfurniture.com




ครุภัณฑ์สำหรับโรงเรียน : ชุดโต๊ะนักเรียน โต๊ะโรงอาหาร ตู้หนังสือ โต๊ะครู




รวมแบบห้องนอนสีเขียว - เหมาะกับคนเกิดวันพุธและวันอาทิตย์


สำหรับผู้ที่กำลังมองหาแนวทางในการตกแต่งห้องนอน วันนี้เราขอเสนอการตกแต่งห้องนอนโดยอาศัยโทนสีเขียว จะทำให้ห้องนอนดูเย็นสบายตา รู้สึกสดชื่นหลังตื่นนอน และยังเป็นสีที่เหมาะสมกับผู้ทีเ่กิดวันพุธ เพราะเป็นสีประจำวันพุธ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมโชคลาภ เสน่ห์ และความเป็นสิริมงคล ให้แก่คนวันพุธและวันอาทิตย์ ส่วนคนที่เกิดวันจันทร์จะเป็นการเสริมอำนาจบารมี ส่วนวันพฤหัสบดี จะมีผู้อุปถัมภ์จ้า

รูปภาพประกอบจาก bhuto.com/wonderful-bedroom-color-ideas/simple-green-bedroom-ideas/
ใช้สีเขียว-ขาวแบบ Stripe มาเป็นเบส โดยอาศัยเพียงแค่ผ้าปูที่นอน และ หมอน แต่ทำให้ห้องดูโดดเด่นอย่างไม่น่าเชื่อ  ผ้าม่านลายวิจิตรช่วยให้ห้องไม่ดูน่าเบื่อเกินไป
โต๊ะและเก้าอี้ ที่เป็นไม้สร้างความเป็นธรรมชาติให้แก่ห้อง และใช้ของตกแต่งสีขาวให้ดูกลมกลืนได้อย่างลงตัว

รูปภาพประกอบจาก home-designing.com/2008/09/bedroom-design-ideas-2 / by  Rio Laksana
อาศัยการใช้ลายดอกสีเขียว-ขาว ในการสร้างบรรยากาศแบบหวานๆ และดูเป็นธรรมชาติมาก สตูลสีเขียวทำให้ห้องดูโดดเด่นขึ้น การใช้กระจกในการทำให้ห้องดูกว้างขวาง แผงหลังหัวเตียงทำลายดอกไม้ที่แสดงให้เห็นถึงความพริ้วไหวจากการใช้ลายเส้น ช่วยส่งเสริมให้ห้องนี้มีชีวิตชีวา

รูปภาพประกอบจาก home-designing.com/2011/12/dream-home-interiors-by-open-design
ออกแบบผนังด้วยชั้นหนังสือ ทำให้ห้องนี้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นสัดส่วน การใช้รูปคลื่นสร้างความรู้สึกเคลื่อนไหว สร้างความมีชีวิตชีวาให้แก่ผู้อาศัย สีเขียวจากผ้าปูที่นอน หมอน และ เก้าอี้ สร้างความโดดเด่นให้แก่ห้องนอน ส่วนพรมเช็ดพื้น dotty ขาวเขียว ช่วยให้ห้องนี้ยังคงดูนุ่มนวล ไม่แข็งกระด้างจนเกินไป

รูปภาพประกอบจาก timticks.com/lime-green-bedroom-decorationpng/green-bedroom-decoration/
เนื่องจากมีหน้าต่างที่เยอะ สูง และกว้าง ส่งผลให้แสงแดดกระจายตัวเข้าสู่ห้องได้มาก ทำให้สีเขียวดูสดใส สว่าง การใช้เฟอร์นิเจอร์โทนสีโอ๊ค ตัดกับสีเขียวของผนังห้อง ทำให้ดูโดดเด่น และการเลือกสีน้ำเงินเข้ม มาตัดกับสีเขียว ก็ทำให้เฟอร์นิเจอร์นั้นดูหรูหราขึ้นอีกด้วย
รูปภาพประกอบจาก timticks.com/monochromatic-green-bedroom-inspiration-furniture
โทนสีเขียวมรกต หรือ เขียวน้ำทะเล ช่วยให้ห้องดูเย็นสบาย ไม่ร้อนรุ่ม การใช้ผนังลายอิฐสร้างความรู้สึกดิบๆ มาผสมผสานกับความนุ่มนวล พรมลายหญ้า ทำให้ห้องเป็นธรรมชาติ และใช้เฟอร์นิเจอร์สีเทาช่วยให้กลมกลืน
รูปภาพประกอบจาก homesickdesigns.com/bedroom-designs/
การใช้โทนสีเทาเป็นสีเบส ตัดด้วยเฟอร์นิเจอร์สีเขียว แซมด้วยสีน้ำเงิน ช่วยให้ห้องของคุณหนู มีความรู้สึกสดชื่น แจ่มใส มีชีวิตชีวาตลอดเวลา

ตารางสีเสริมดวงชะตา




สนใจตกแต่งห้องนอน ติดต่อเลยที่   TangYongFurniture.com



วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ส่องโรงอาหารมหาวิทยาลัยชื่อดัง


วันนี้ผมมีภาพโรงอาหารต่างๆ ตามมหาวิทยาลัยมาให้ดูกัน สมัยเด็กๆที่เรียนภาษาอังกฤษ คำว่าโรงอาหารคือ Canteen และ Cafeteria แต่พอเอาคำไปค้นหาใน google ตั้งนาน หาไม่ค่อยจะเจอ

กว่าจะมาค้นพบว่า บางที่เขาเรียกมันว่า Dining Hall  ก็คงเพราะสาเหตุว่ามันใหญ่ โอ่โถง มหึมา
ลองนึกถึงในหนังเรื่องแฮรี่ พ็อตเตอร์ละกัน อารมณ์ประมาณนั้นแหละ

อะ มาดูกันเลย

- Harvard University
Beautiful Canteen in Harvard

ตกแต่งได้เหมือนโบสถ์

- Trinity College , Cambridge

dining hall interior (with portrait of Henry VIII)
John Jay Dining Hall @ Columbia University

Annenberg Hall
Massey College Dinning Hall

The Dining Hall of Balliol College, Oxford University, United Kingdom
สนใจโต๊ะโรงอาหารสั่งซื้อได้ที่นี่เลย >>>  www.tangyongfurniture.com



วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

โครงสร้างการเจริญเติบโต และชนิดของไม้

โครงสร้างการเจริญเติบโต และชนิดของไม้

         โครงสร้างและการเจริญเติบโตของเนื้อไม้จะประกอบด้วยเซลล์ และท่อเซลล์ ซึ่งเกิดจากการเรียงตัวซ้อนกันและเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ซึ่งท่อเซลล์เหล่านี้โดยทั่วไปจะมีขนาดความโตแตกต่างกันออกไปตามชนิดของไม้ แต่อย่างไรก็ตาม จะไม่โตไปกว่าขนาดความโตของเส้นผมมนุษย์ สำหรับไม้เนื้อแข็ง ท่อเซลล์จะยาวประมาณ 1/25 นิ้ว ส่วนไม้เนื้ออ่อนจะยาวประมาณ 1/8 นิ้ว ผนังเซลล์จะประกอบด้วยสารหลายชนิด มีทั้งสารอินทรีย์ (Organic) และสารอนินทรีย์ (Inorganic) แต่ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยเส้นใยเล็กๆ ที่เรียกว่า เซลลูโลส (Cellulose) ซึ่งเป็นสารอินทรีย์ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของไม้มากที่สุดประกอบกันขึ้นเป็นผนังเซลล์ และเส้นใยเหล่านี้จะยึดติดเข้าด้วยกันด้วยซีเมนต์ธรรมชาติที่เรียกว่าลิกนิน (Lignin) ซึ่งไม่เพียงจะทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อม ประสานให้เซลล์ยึดให้ติดกันแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังจะช่วยทำให้ผนังเซลล์มีความแข็งดีอีกด้วย

เซลล์เหล่านี้ มีทั้งชนิดที่ทอดตัวไปตามความยาวของลำต้น (Longitudinal cells) และชนิดทอดตัวไปตามแนวขวางของลำต้น (Transverse cells) กลุ่มของเซลล์เหล่านี้เรียกว่า เนื้อเยื้อ (Tissue) ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
    1. กลุ่มของเนื้อเยื้อลำเลียง (Conducting tissue) ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุให้แก่ต้นไม้
    2. กลุ่มเนื้อเยื้อค้ำจุน (Supporting tissue) ทำหน้าที่ให้ความแข็งแรงแก่ต้น
    3. กลุ่มเนื้อเยื่อสะสม (Storage tissue) ซึ่งจะทำหน้าที่สะสมอาหารให้กับต้นไม้
กลุ่มเซลล์ที่กล่าวมาข้างต้นยังแบ่งออกได้เป็นกลุ่มย่อยที่ตายแล้ว (Prosenchyma) ซึ่งไม่มีเยื่อชีวิตหลังจากที่เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว เป็นกลุ่มเซลล์ซึ่งอยู่ในแก่นไม้ (Heartwood) กับกลุ่มเซลล์ที่ยังมีเยื่อชีวิตอยู่หลังจากเจริญเติมที่แล้ว (Parenchyma) ซึ่งเป็นกลุ่มเซลล์ที่อยู่ในส่วนกระพี้ไม้ (Sapwood) 

           ส่วนที่เจริญเติบโตของต้นไม้ก็คือ ส่วนปลายของราก ใบ และชั้นของเซลล์ที่อยู่ถัดเข้ามาจากทางด้านในของเปลือก (Bark) ที่เรียกว่าแคมเบี่ยม (Cambium) น้ำและแร่ธาตุจะถูกดูดโดยราก และถูกนำไปยังใบ โดยผ่านทางท่อเซลล์บริเวณกระพี้ไม้ ที่เรียกว่า ซีเล็ม (Xylem) จากนั้นจะเข้าไปรวมตัวกับคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศที่ใบ โดยอาศัยพลังงานจากแสงอาทิตย์จะทำให้เกิดการปรุงอาหารขึ้น จากนั้นอาหารที่ปรุงขึ้นมานั้นจะถูกส่งกลับไปยังส่วนต่างๆของต้นไม้โดยทางท่อเซลล์ที่เรียกว่า โพลเอ็ม (Phloem) ซึ่งอยู่บริเวณเปลือกไม้ทางด้านใน (Inner bark )

            เซลล์ที่อยู่ในบริเวณแคมเบี่ยมจะเกิดการแบ่งตัว โดยที่ด้านในของชั้นเซลล์ ส่วนที่อยู่ติดกับกระพี้ไม้ที่เรียกว่า ซีเล็ม จะสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาเป็นเนื้อไม้ขณะที่ด้านนอกของเซลล์ที่ติดอยู่กับเปลือกไม้ด้านใน ที่เรียกว่าโพลเอ็ม จะผลิตเปลือกไม้ออกไม้มาด้านนอก การสร้างเซลล์หรือการเจริญเติบโตของไม้ที่เรียกว่า แคมเบี่ยม นี้จะเกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน ชั้นของเซลที่เกิดขึ้นในแต่ละฤดูจะแยกออกจากกัน ชั้นของเซลล์เหล่านี้เรียกว่าวงปี (Annual Ring) ดังนั้นแต่ละวงปีจะประกอบด้วยชั้นของเซลล์สองชั้นคือชั้นเซลล์ที่เกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ในฤดูใบไม้ผลิต้นไม้จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เซลล์ที่ถูกสร้างขึ้นมาจะมีขนาดใหญ่และผนังเซลล์จะบาง แต่เซลล์ที่ถูกสร้างขึ้นในฤดูร้อนจะมีขนาดเล็กกว่าและผนังเซลล์หนา ทั้งนี้เนื่องจากในฤดูร้อนการเจริญเติบโตของเซลล์จะช้าลง ดังนั้นชั้นของเซลล์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่จะมีขนาดเล็กและผนังเซลล์หนากว่าแต่จะมีสีเข้มกว่าชั้นเซลล์ในฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย วงปีเหล่านี้จะมีผลโดยตรงต่อรูปแบบของเสี้ยนไม้ ซึ่งจะสามารถดูได้จากผิวไม้ที่ตัดออกมาจากท่อนไม้หรือซุง 

กระพี้ไม้จะประกอบด้วยเซลล์ที่มีชีวิต ชั้นของเซลล์ที่เป็นกระพี้จะมีขนาดความหนาแตกต่างกันออกไป แก่นไม้จะเกิดจากกรพี้ไม้ที่เซลล์ตายไปแล้ว หลังจากที่เจริญเติบโตเต็มที่โดยปกติแล้ว แก่นไม้จะมีสีเข้มกว่ากระพี้ไม้ ไม้ส่วนที่เป็นแก่นนี้ถือว่าเป็นไม้ที่ดีที่สุด ในไม้บางชนิดกระพี้ไม้จะมีความแข็งเท่ากับแก่นไม้ แต่ความทนทานจะน้อยกว่าเมื่อนำไปใช้ในท่ามกลางแดดและฝน 

ตรงกลางแก่นไม้จะมีไส้ไม้ (Pith) ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม้เริ่มเจริญเติบโตในระยะแรกๆ ไม้ส่วนนี้เมื่อต้นไม้มีอายุมากๆ เข้าก็อาจจะกลายเป็นโพรงเล็กๆ ได้ นอกจากนั้นยังมีรัศมีของไม้ (Wood ray) วิ่งออกจากศูนย์กลางของไม้สู่ทางด้านเปลือกไม้ เส้นเหล่านี้ก็คือกลุ่มเซลล์ที่ทอดตัวตามแนวขวางนั้นเอง ซึ่งนอกจากจะทำหน้าที่เป็นช่องทางลำเลียงและสะสมอาหารแล้ว ยังจะช่วยยึดโครงสร้างของต้นไม้ไว้อีกด้วย อายุของไม้ที่ใช้ในการก่อสร้างในการก่อสร้างได้ดีจะอยู่ระหว่าง 50 ถึง 150 ปี

ชนิดของไม้

ไม้แปรรูปที่ได้จากป่าในเมืองไทย เกือบทั้งหมดอาจกล่าวได้ว่าเป็นไม้เนือแข็ง ส่วนไม้เนื้ออ่อนจริงๆ นั้น มีเพียง 2-3 ชนิดเท่านั้น แต่ในทางการค้า เมืองไทยได้แบ่งไม้แปรรูปด้วยการเอาความแข็งแรงในการอัด (แรงประลัย) ของไม้แห้งที่มีความชื้นในเนื้อไม้ระหว่าง 10 ถึง 14% และความทนทานตามธรรมชาติของไม้ชนิดนั้นๆ เป็นเกณฑ์โดยจำแนกออกได้เป็น 3 ฃนิดคือ 
    1. ไม้เนื้อแข็ง 
    2. ไม้เนื้อแข็งปานกลาง 
    3. ไม้เนื้ออ่อน

ไม้เนื้อแข็ง เป็นไม้ที่มีเนื้อแกร่งและเหนียวมีความแข็งแรงและทนทานต่อการใช้ท่ามกลางแดดและฝนได้ดีมาก เนื้อไม้มีทั้งชนิดเนื้อหยาบไปจนถึง เนื้อละเอียดทั้งชนิดเสี้ยนไม้ตรงและเสี้ยนไม้สับสน ยากต่อการเลื่อย ไสกบและตกแต่ง แต่ขัดมันได้ดีเนื่องจากเนื้อไม้ส่วนใหญ่จะเป็นมันในตัว ไม้ชนิดนี้ส่วนใหญ่จะมีสีเข้ม เป็นไม้ที่มีน้ำหนักมาก โดยทั่วไปจะหนักตั้งแต่ประมาณ 720 ถึง 1,120 ต่อ ลูกบาตรเมตร หรือกว่านั้น ไม้เนื้อแข็งบางชนิด ได้แก่ ไม้เต็ง รัง ประดู่ เคียม มะค่าโมง ชิงชัน แดง มะเกลือ ยมหิน เลียงมัน เสมา หลุมพอ แอ๊ก ตีนนก และบุนนาก 

ไม้เนื้อแข็งปานกลาง เป็นไม้ที่มีเนื้อแข็งอยู่ในระดับปานกลาง มีความแข็งแรงและทนทานพอประมาณ เนื้อไม้มีทั้งชนิดเนื้อหยาบไปจนถึงเนื้อละเอียด แต่ส่วนใหญ่จะเป็นไม้เนื้อละเอียด เสี้ยนไม้ตรงหรือเกือบตรง จึงสะดวกต่อการเลื่อย ไสกบ และตกแต่ง และเนื่องจากส่วนใหญ่จะเป็นไม้ที่มีลวดลายสวยงาม จึงนิยมนำมาใช้ในการทำเครื่องเรือน สีของไม้ชนิดนี้จะอยู่ในระดับปานกลาง เป็นไม้ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ประมาณ 690 ถึง 1130 กิโลกรัม ต่อ ลูกบาตรเมตร ไม้เนื้อแข็งปานกลางบางชนิดได้แก่ ไม้ตะเคียนทอง ตะเคียน ตะแบก พลวง มะค่าแต้ ยูง และรกฟ้า 

ไม้เนื้ออ่อน เป็นไม้ที่เนื้อไม้อ่อนและหยาบ มีความแข็งแรงและทนทานน้อยที่สุด มอดหรือปลวกชอบทำลาย การยืดหดตัวไม่สม่ำเสมอมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ชนิดของไม้ สีของเนื้อไม้ก็แตกต่างกันออกไปจากสีอ่อนไปจนถึงสีเกือบเข้ม ไม้ชนิดนี้จะมีน้ำหนักตั้งแต่ประมาณ 500 ถึง 870 กิโลกรัมต่อลูกบาตรเมตร ไม้เนื้ออ่อนบางชนิดได้แก่ ไม้กระท้อน ยาง จำปาป่า กระบาก ยมหอม กระเจา พะยอม สัก และอินทนิน 

ไม้สักเป็นไม้เนื้ออ่อนที่มีลวดลายสวยงามและมีคุณภาพดีที่สุด นอกจากนั้นมอดหรือปลวกไม่ทำลาย จึงนิยมใช้ทำเครื่องเรือนชั้นดี บานประตู หน้าต่าง พื้น หรือส่วนอื่นที่ต้องการความสวยงาม แต่จะต้องเป็นส่วนที่ไม่รับน้ำหนักมาก 

สำหรับความแข็งแรงและความทนทานของไม้แต่ละชนิด ดูได้จากตาราง ดังนี้
ชนิดไม้ความแข็งแรง (กก/ซม2)ความทนทาน (ปี)
ไม้เนื้อแข็งสูงกว่า 1000สูงกว่า 6
ไม้เนื้อแข้งปานกลาง600-10002-6
ไม้เนื้ออ่อนต่ำกว่า 600ต่ำกว่า 2
หมายเหตุ ** ไม้เนื้ออ่อน คือไม้ที่ไม่ทนทานต่อดินฟ้าอากาศ มอด และปลวก และไม้ที่มีความทนทานต่ำ แต่ถ้าได้รับการอาบน้ำยาเสียก่อนตามที่กำหนดไว้ก็สามารถเลื่อนระดับสูงขึ้นตามความแข็งแรงได้

ตำหนิในเนื้อไม้

ตำหนิในเนื้อไม้คือความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในเนื้อไม้ซึ่งอาจจะทำให้ไม้ขาดความแข็งแรง ความทนทาน และความสวยงามได้ ตาไม้ (Knots) เป็นตำหนิในเนื้อไม้อันหนึ่งที่พบเห็นกันอยู่เสมอ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทิศทางและแนวของเสี้ยนไม้สดุดลงจึงทำให้ไม้เสียความแข็งแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม้ถูกนำไปใช้ในลักษณะที่รับแรงดึง เช่น ใช้เป็นตงหรือคาน เนื่องจากตาไม้จะมีความแข็งสูงมาก รอยร้าว (Shakes) เป็นรอยแยกตามเสี้ยนไม้ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวงปี ซึ่งเกิดจากลมพายุที่พัดโยกต้นไม้อยู่ตลอดเวลาจนทำให้เกิดรอยแยกระหว่างวงปีเก่ากับปีใหม่ รอยแยกดังกล่าวจะขยายต่อไปตามความยาวของไม้ ซึ่งเป็นผลให้ความแข็งแรง หรือความต้านทานต่อแรง เฉือนตามแนวนอนลดลงมาก จึงไม่นิยม 



Wood Joint

Wood Joint

ในปัจจุบัน วัตถุดิบไม้ที่ใช้ในอุตสาหกรรมไม้ต่างๆ ภายในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ผลิต ดังนั้น การใช้ทรัพยากรไม้อย่างมีคุณค่าและประหยัดต้นทุนจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ในส่วนของเทคโนโลยีงานไม้นั้น ส่วนมากก็จะมีการคิดค้นเทคนิคในการผลิตอย่างประหยัดทรัพยากรให้มากที่สุด หนึ่งในวิธีการที่จะสามารถใช้ประโยชน์ไม้ให้ได้มากที่สุด คือ การประสานไม้ที่เรียกกันว่า Finger Joint และ Butt Joint
ในส่วนอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ย่อมรู้จักงานประเภทนี้เป็นอย่างดี เพราะเป็นวิธีต่อไม้ในด้านความยาวที่ให้ผลงานที่ดีและมีความแข็งแรง ทั้งยังเป็นการเก็บเอาเศษท่อนไม้ที่ไม่ได้ขนาดความยาวที่ต้องการในงานหลักออกมาใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าอีกด้วย หลักการง่ายๆ เพียงแค่นำหัวไม้แต่ละด้านของความยาวมาขึ้นรูปเป็นฟันถี่ๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่จับยึด จากนั้นทากาวแล้วนำมาประสานเข้ากับหัวไม้อีกท่อนหนึ่ง ต่อกันไปเรื่อยๆ จนได้ความยาวที่ต้องการ ซึ่งไม้ที่ประสานเสร็จแล้วก็จะช่วยลดในเรื่องของการเหลือเศษไม้ทิ้ง และช่วยประหยัดต้นทุนอีกด้านหนึ่ง

ส่วนศัพท์เฉพาะ Finger Joint กับ Butt joint  นั้น ถ้าจะเรียกให้ถูกคือ Vertical Finger Joint กับ Horizontal Butt Joint ซึ่งในบ้านเราส่วนใหญ่จะเหมาเรียกรวมว่า Finger Joint ซึ่งจริงๆแล้วถ้าเราจะทำการต่อไม้ควรพิจารณาปัจจัยของลักษณะชิ้นงานและจุดประสงค์ในการใช้งานมาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะขออธิบายคร่าวๆ ดังนี้

Vertical Finger Joint ในตลาดสินค้าเฟอร์นิเจอร์ไม้จากงานประเภทนี้มีให้เห็นในตลาดโดยทั่วไป เพราะมีการผลิตมากกว่า Horizontal Butt Joint ซึ่ง Vertical แปลว่าแนวตั้ง ก็คืองาน Vertical Finger Joint เป็นการทำซี่ไม้ในแนวตั้ง สามารถเห็นรอยต่อเป็นซี่ไม้ชัดเจนในสินค้าเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ

งานเฟอร์นิเจอร์ไม้ในลักษณะนี้เป็นที่ถูกใจตลาดญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก เพราะเป็นตลาดที่เข้าใจว่าการต่อไม้เป็นเรื่องปกติของแนวคิดในการประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ ตลาดทางญี่ปุ่นจึงรับได้กับการแสดงรอยแผลการต่อไม้ออกมาบนหน้าโต๊ะ หรือส่วนอื่นของเฟอร์นิเจอร์ที่มีการโชว์ผิวไม้ออกมา
มองในทางกลับกัน ถ้าต้องการเฟอร์นิเจอร์ที่สวย มีความเรียบร้อยไม่มีรอยในการต่อที่เห็นได้เด่นชัด มีสีสม่ำเสมอกัน ทำให้การต่อไม้แบบ Horizontal Butt Joint สามารถตอบสนองต่อความต้องการนี้ ในการต่อไม้แบบ Butt Joint ยังต้องมีการขึ้นฟันไม้เป็นซี่ๆเหมือน Finger Joint เหมือนเดิมเพราะเป็นการเพิ่มพื้นที่จับยึดให้แก่ไม้ทั้งสองท่อน แต่เป็นการทำในแนวนอนและมีการบากตรงส่วนหน้าไม้ให้เป็นบ่าหรือไม่มีซี่ 

รอยบ่านี้จะมีความลึกอยู่ไม่ต่ำกว่า 3 มม. และเมื่อนำไปใช้ทำให้สามารถผ่านกระบานการขัดได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งถ้าเกิดไม่มีรอยบ่านี้เมื่อนำมาผ่านกระบานการขัด ซึ่งโดยธรรมชาติจะไม่สามารถขัดเอาผิวไม้ออกไปได้เท่ากันตามแนวระนาบจริงๆ อีกทั้งรอยต่อที่ผิวหน้าก็มักจะมองเห็นเป็นแนวไม่ตรง ทำให้งานออกมาไม่เรียบร้อย แตกต่างจากการต่อไม้แบบ Vertical Finger Joint จะมีการเปิดเผยรอยฟันของการต่อไม้มาบนพื้นผิว ซึ่งแม้จะต้องมาผ่านกระบวนการขัดและทำสีก็ไม่เป็นไร เพราะรอยฟันในการต่อจะยังอยู่เหมือนเดิม 

ไม้ที่ทำการต่อด้วยวิธี Vertical Finger Joint และ Horizontal Butt Joint สามารถนำไปทำเป็นไม้ประสานตามขนาดความกว้างที่ต้องการได้อีกทางหนึ่งอีกด้วย เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าทางการตลาด ทั้งยังเป็นการเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ชิ้นงานอีกด้วย เนื่องจากไม้ที่ทำการประสานแล้วจะมีความแข็งแรงทนทานต่อการรับน้ำหนักได้ดีกว่า solidwood

ไม้ประสาน ( Laminated Timber ) หมายถึง ผลิตภัณฑ์ไม้ที่ผลิตจากการนำไม้ชิ้นเล็กๆ มาประกอบกันด้วยกาว โดยให้เสี้ยนไม้ของชิ้นที่ติดอยู่ในแนวเดียวกัน 

กาวที่ใช้ประสาน ได้แก่ กาวลาเท็กซ์ชนิดพิเศษ กาวยูเรีย ฟอร์มัลดีไฮด์ กาวเมลานีน  ยูเรีย กาวฟินนอล กาวอีพอกซี กาวรีซอสซินอล กาวโพลีไวนีลยูรีเทน เป็นต้น การเลือกใช้กาวขึ้นอยู่กับการใช้งานของไม้ประสาน และความแข็งแรงที่ต้องการ กาวที่แข็งเกินไปอาจจะทำใบมีดหรือกระดาษทรายสึกหรอได้ง่าย

สำหรับไม้ยางพาราซึ่งเป็นไม้โตเร็ว มีตำหนิมาจากตา การโก่ง บิดงอ การประสานจึงเป็นวิธีที่เหมาะสมที่ทำไม้เป็นแผ่นใหญ่หรือท่อนยาวเพื่อที่นำไปทำการแปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์ เช่น หน้าโต๊ะ ตู้ พนังเตียง พื้นบันได เป็นต้น

สำหรับหน้าโต๊ะที่ใช้ไม้ยางพาราประสาน ไม่ว่าจะเป็นการผลิต โต๊ะโรงอาหาร โต๊ะนักเรียน  หรือ เฟอร์นิเจอร์อื่นๆที่มีการใช้แผ่นไม้ยางพาราประสานนี้ จึงมั่นใจได้ว่า มันจะมีความแข็งแรง ทนทาน และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน





หลักเกณฑ์การแบ่งไม้เนื้ออ่อน ไม้เนื้อแข็งตามมาตรฐานของกรมป่าไม้

หลักเกณฑ์การแบ่งไม้เนื้ออ่อน ไม้เนื้อแข็งตามมาตรฐานของกรมป่าไม้

ไม้ในทางการค้าแบ่งออกเป็นสองชนิด คือ ไม้เนื้ออ่อน (Softwoods) และไม้เนื้อแข็ง (Hardwoods) โดยอาศัยวิชาการทางพฤกษศาสตร์เป็นรากฐาน ในการแบ่งออกเป็นสองชนิดดังกล่าว คือ
  1. ไม้เนื้ออ่อน เป็นไม้ที่ได้จากต้นไม้พวกสน Coniferae ที่มีลักษณะใบเรียวเล็ก (Needle leaves) ผลมีรูปลักษณะเป็นรูปทรงกรวย (Cone) ต้นไม้พวกนี้ส่วนมากขึ้นอยู่ในที่สูงมีอากาศเย็นในประเทศที่มีอากาศหนาว (Temperate regions) ลักษณะโครงสร้างของไม้เนื้ออ่อนเป็นแบบธรรมดาซึ่งแตกต่างจากไม้เนื้อแข็งอย่างชัดเจน และมีความเหมาะสมในการใช้งานก่อสร้างได้ ถึงว่าจะมีเนื้อไม้ของไม้สนหลายชนิดค่อนข้างอ่อนแต่ก็ง่ายต่อการไสตบแต่ง มีน้ำหนักเบาและแข็งพอที่จะใช้สำหรับงานก่อสร้างโดยทั่วไปได้เช่นกัน

  2. ไม้เนื้อแข็ง เป็นไม้ที่ได้มาจากต้นไม้ที่มีใบกว้าง (broad leaved trees) ซึ่งเป็นไม้จำนวนมากที่มีอยู่ในป่าไม้ของประเทศไทย ไม้ที่เป็นของไทยส่วนมากหรือทั้งหมดที่เป็นการค้าเป็นไม้เนื้อแข็งมีจำนวนหลายสิบชนิด ลักษณะโครงสร้างของไม้เนื้อแข็งมีความยุ่งยากซับซ้อนกว่าไม้เนื้ออ่อน และมีลักษณะแตกต่างระหว่างไม้เนื้อแข็งด้วยกันเองมาก คุณสมบัติของไม้เนื้อแข็งมีความแตกต่างระหว่างพวกไม้เนื้อแข็งด้วยกันทั้งในด้านความแข็งแรงของการรับน้ำและความแข็งของเนื้อไม้อย่างกว้างขวาง
ข้อแตกต่างของไม้เนื้ออ่อนและไม้เนื้อแข็งทางวิชาการที่กล่าวมาแล้ว เป็นความหมายที่ใช้กันทุกประเทศในโลก ดังนั้นความจริงที่ปรากฏว่าไม้เนื้ออ่อนบางชนิด (Softwoods) แข็งกว่าไม้เนื้อแข็งบางชนิด (Hardwoods) จึงไม่เป็นสาเหตุทำให้ความหมายของไม้เนื้ออ่อน และไม้เนื้อแข็งตามความหมายทางวิชาการ ซึ่งถือเอาลักษณะทางพฤกษศาสตร์ และลักษณะโครงสร้างของไม้เป็นเรื่องเกินเลยความจริงหรือผิดพลาดแต่ประการใด

ไม้เนื้ออ่อน และไม้เนื้อแข็งที่เป็นปัญหา

ไม้เนื้ออ่อน (Softwood) ที่ว่ากันตามหลักวิชาการทางลักษณะโครงสร้างไม้ก็คือไม้ที่เนื้อไม้ไม่มีรู (non-porous wood) พูดให้ง่าย ถ้าเอามีดคมๆ เฉือนที่หน้าตัดไม้ให้เรียบ แล้วใช้แว่นขยาย (hand lens) ส่องดู จะเห็นว่าไม่มีรู ไม้ที่เป็นไม้เนื้ออ่อนตามหลักวิชาการดังกล่าว ได้แก่ พวกไม้สน (conifers) ส่วนไม้เนื้อแข็ง (Hardwoods) เป็นไม้ที่มีลักษณะโครงสร้างที่มีรู (porous wood) ถ้าใช้แว่นขยายส่องดูเนื้อไม้ตามกรรมวิธีที่ว่า จะพบว่าในเนื้อไม้มีรูพรุนโดยทั่วไป แต่ปัญหาไม้เนื้ออ่อน เนื้อแข็งตามความหมายที่ใช้โดยทั่วๆ ไป เกี่ยวกับไม้ที่ใช้ในการก่อสร้างนั้น หมายถึงไม้ที่สามารถรับแรงหรือรับน้ำหนักโดยไม่แตกหักเสียหาย ซึ่งหากจะพูดในอีกแง่หนึ่ง ก็คือ ความแข็งแรงของไม้นั่นเอง ดังนั้น ไม้เนื้ออ่อนเนื้อแข็งที่จะกล่าวต่อไปก็หมายความตามที่ว่ากันโดยทั่วไป คือ ความแข็งแรงของไม้ในการรับน้ำหนักในการใช้งานที่ประกอบเป็นสิ่งปลูกสร้าง

หลักเกณฑ์การแบ่งไม้เนื้ออ่อน ไม้เนื้อแข็งตามมาตรฐานของกรมป่าไม้

โดยที่คุณสมบัติไม้ทางด้านกลสมบัติ (mechanical properties) นั้นเกี่ยวข้องกับแรง (stress) ที่มากระทำต่อไม้ ซึ่งมี 4 ลักษณะด้วยกัน คือ แรงบีบ (compressive stress) เป็นแรงที่ทำให้ไม้มีขนาดเล็กกว่าเดิม แรงดึง (tensile stress) เป็นแรงที่ทำให้ไม้มีขนาดหรือปริมาตรใหญ่กว่าเดิม แรงเชือด (shear stress) เป็นแรงที่ทำให้ไม้แยกออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรงดัด (bending stress) เป็นแรงที่ทำให้ไม้โค้งงอจนหัก เป็นแรงที่รวมเอาแรง 3 ชนิดแรกเข้าด้วยกัน ความสามารถที่ไม้จะต้านทานต่อแรงที่มากระทำ เรียกว่า ความแข็งแรง (strength) ซึ่งจะมีความแข็งแรงชนิดใดก็ขึ้นอยู่กับชนิดแรงที่มากระทำดังกล่าวแล้ว แรงที่นับว่าสำคัญและพบว่าเกิดขึ้นเสมอในสิ่งก่อสร้าง คือแรงบีบขนานเสี้ยนและแรงดัด รองลงมาก็คือแรงเชือด โดยเฉพาะแรงดัดซึ่งสามารถทำให้ไม้หักเสียรูปโดยสิ้นเชิงนั้น เป็นแรงที่มีปัจจัยต่างๆ ในสิ่งก่อสร้างมาเกี่ยวข้องอยู่เป็นอันมาก แรงดัดสูงสุดที่ทำให้ไม้หัก เรียกว่า แรงประลัยหรือสัมประสิทธิ์ในการหัก (modulus of rupture) ความต้านทานของไม้ต่อแรงประลัยนี้ เรียกว่า ความแข็งแรงของไม้ในการดัด ซึ่งยอมรับและใช้กันเป็นมาตรฐานของความแข็งแรงของไม้ ในการแบ่งไม้ออกเป็นประเภทไม้เนื้ออ่อนหรือไม้เนื้อแข็ง จึงได้ถือเอาความแข็งแรงในการดัดเป็นเกณฑ์ โดยพิจารณาความทนทานตามธรรมชาติประกอบด้วยและโดยที่ไม้ตะเคียนทอง (Hoper odorata Roxb.) เป็นไม้ที่ได้รับความนิยมและยอมรับกันอย่างกว้างขวางมานานว่า เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีคุณภาพดีทั้งด้านความแข็งแรงและความทนทาน จึงได้เปรียบเทียบคุณภาพของไม้ที่ยังไม่รู้จักกับไม้ตะเคียนทองเสมอ ดังนั้นการแบ่งไม้เนื้ออ่อน ไม้เนื้อแข็งของกรมป่าไม้ จึงนำเอาความแข็งแรงในการดัดของไม้ตะเคียนทองที่แห้งเป็นค่ามาตรฐานในการแบ่งช่วงความแข็งแรงในการดัดของไม้ชนิดต่างๆ ว่าเป็นไม้เนื้อแข็งหรือไม้เนื้ออ่อน
มาตรฐานไม้เนื้อแข็งของกรมป่าไม้
 แรงดัดสถิตย์ (กก./ซม.2)ความทนทาน (ปี)
ไม้เนื้อแข็งสูงกว่า 1000สูงกว่า 6 ปี
ไม้เนื้อแข้งปานกลาง600-10002-6 ปี
ไม้เนื้ออ่อนต่ำกว่า 600ต่ำกว่า 2 ปี
อนึ่ง ไม้ที่มีค่าแรงดัดสถิตย์ 1000 กก./ซม.2 แต่ยังไม่มีค่าความทนทานตามธรรมชาติหรือมีค่าความทนทานตามธรรมชาติต่ำ สามารถจัดเป็นไม้เนื้อแข็งของกรมป่าไม้ได้ โดยการอัดน้ำยาตามมาตรฐาน มอก. 515-2527 และมอก. 516-2527




การป้องกันและการรักษาเนื้อไม้

การป้องกันและการรักษาเนื้อไม้
การผุของไม้เกิดจากการกระทำของจุลินทรีย์ที่มุ่งทำลายใยไม้  โดยทำการปัจจัยเสริม 4 ประการ คือ
1 ) มีอาหารที่ฟังไจชอบ
2 ) มีอุณหภูมิที่พอเหมาะกับฟังไจ
3) มีปริมาณอากาศที่เคลื่อนไหวน้อย
4) มีสภาพความชื้นที่พอเหมาะ

      ทั้ง 4 ประการนี้ถ้าขาดปัจจัยใดไป  การทำลายของฟังไจก็จะไม่เกิดขึ้น  ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้จากการที่เคยมีการขุดค้นทางโบราณคดี พบท่อนซุงในสมัยโบราณที่ใช้เป็นฐานกำแพงเมืองจมอยู่ใต้ดินนับร้อยปี  ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่มีการผุเปื่อย เป็นเพราะซุงจมอยู่ใต้ดินและมีน้ำท่วมขังอยู่ตลอดปราศจากอากาศ

      การป้องกันรักษาเนื้อไม้ที่ดีที่สุดคือ การทำให้อาหารของฟังไจเป็นพิษ   โดยการอาบหรืออัดหรือทาน้ำยาที่เป็นพิษเข้าไปในเนื้อไม้ สามารถแบ่งได้ 2 วิธีใหญ่ๆ    คือ

วิธีที่หนึ่ง การอาบน้ำยา 
   
    เป็นวิธีการอาบน้ำยาให้กับไม้ทั้งที่เป็นซุงหรือผ่านการแปรรูปมา แล้วก็ได้  โดยนำไม้ที่ต้องการอาบน้ำยาลงไปแช่ในถังอักน้ำยา   ซึ่งจะทำการอัดน้ำยาด้วยแรงอัดภายในถังทำให้ยาสามารถซึมเข้าไปในเนื้อไม้ใด้อย่างทั่วถึง  การอัดน้ำยายังสามารถแบ่งออกได้ 2 วิธี      คือ 

การอัดน้ำยาแบบเต็มเซลล์ ( Full  cell  process )    การอัดน้ำยาด้วยวิธีนี้เพื่อต้องการให้น้ำยาสามารถซึมเข้าไปในเซลล์เนื้อไม้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  กรรมวิธีเริ่มจากการนำไม้เข้าไปในถังแล้วทำการไล่อากาศและน้ำภายในเซลล์ไม้ออกให้หมดด้วยระบบสุญญากาศ จากนั้นจึงปล่อยน้ำยาเข้าถังด้วยแรงดันถึง 7- 13 กก./ตร.ซม. ที่อุณหภูมิ ประมาณ 80  100 องศา เซลล์เซีย เพื่อให้น้ำยาเข้าไปในเนื้อไม้ได้ทั่วทุกเซลล์นานประมาณ 2-3 ชั่วโมง  จากนั้นก็ลดแรงดันและปล่อยน้ำยาออกจากถัง ขณะเดียวกันก็ทำสุญญากาศอีกครั้งเพื่อไม้แห้ง แต่ในภายหลังอาจมีน้ำยาไหลเยิ้มออกมาได้
                        
การอัดน้ำยาแบบไม่เต็มเซลล์ ( Empty  cell  process )    เป็นการอัดน้ำยาเพียงเพื่อให้น้ำยาซึมเข้าไปในเซลล์และเกาะติดอยู่ตามผิวของผนังเซลล์เท่านั้น   โดยภายในช่องเซลล์ไม้จะว่างเปล่าไม่มีน้ำยา  กรรมวิธีเริ่มจากการนำไม้เข้าไปในถังแล้วให้อากาศอัดเข้าไปในถัง   อากาศที่อัดเข้าไปจะเข้าไปอยู่ในเซลล์ต่างๆของเนื้อไม้ด้วยรงอัด ประมาณ 2-7 กก./ ตร.ซม.  จากนั้นปล่อยน้ำยาเข้าถังด้วยแรงอัดที่สูงกว่าครั้งแรกประมาณ 7  14 กก./ ตร . ซม. ปล่อยให้น้ำยาซึมเข้าไปในเนื้อไม้จนเต็มจากนั้นค่อยๆลดความดันภายในถังลงและปล่อยน้ำยาออกจากถัง  ขณะเดียวกันเซลล์ไม้ที่ถูกอากาศอัดไว้ตอนแรกก็จะขยายตัวและขับเอาน้ำยาออกมาจากช่องเซลล์ จากนั้นก็ทำสุญญากาศอีกประมาณ 30- 45 นาที ก็จะทำให้เหลือน้ำยาเพียงที่ผิวของเซลล์ไม้ ทำให้ไม้แห้งและไม่มีน้ำยาไหลเยิ้มออกมาในภายหลัง วิธีนี้เป็นที่นิยมในปัจจุบัน

วิธีที่สอง  การทาหรือการพ่น

     เป็นวิธีการที่ง่ายและค่าใช้จ่ายต่ำ  โดยการเอาแปรงทาหรือเครื่องพ่นหรือแช่ลงในถาดน้ำยา การทาหรือพ่นควรทำอย่างน้อยสองครั้ง ซึ่งน้ำยาจะซึมเข้าเนื้อไม้ไม่ลึกนัก และควรเป็นน้ำยาชนิดที่ดูดซึมเร็ว วิธีนี้อาจได้ผลไม่เต็มร้อย แต่ก็สามารถยับยั้งการเติบโตของจุลินทรีย์ได้ หรือทำให้ฟังไจเข้าไปไม่ได้ การผึ่งไม้ให้แห้งก่อนการทาหรือพ่นจะช่วยให้น้ำยาซึมซับเซลล์ไม้ได้ดีขึ้น และต้องระวังการแตก ฉีก ร้าว ของไม้เพราะเป็นทางเข้าของฟังไจได้  



วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การใช้สีเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการของเด็ก

การใช้สีเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการของเด็ก

ใช้สีน้ำเงิน ผสม เอิร์ทโทน ทำให้ห้องดูเป็นระเบียบ

ปัจจุบันพัฒนาการของเจ้าตัวเล็กสามารถเสริมสร้างได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหาร เล่นดนตรี ฟังเพลง อ่านหนังสือ เล่นเกม หรือของเล่นต่างๆ ซึ่งอาจมาในรูปแบบที่แตกต่างกันไปด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ทราบหรือไม่ว่านอกจากวิธีทั้งหมดที่กล่าวมา ยังมีวิธีง่ายๆ อีกวิธีหนึ่งที่บางครั้งเรามองข้ามไป นั่นก็คือ 'สี'นั่นเอง


โดยทั่วไปแล้วสีมีส่วนช่วยให้เราจดจำสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเขียนหรือไฮไลต์ตัวหนังสือด้วยปากกาสี การแบ่งหน้าหนังสือด้วยการใช้กระดาษสี รวมไปถึงการแปะกระดาษสีสันต่างๆ เพื่อเตือนความจำ สำหรับเด็กๆ พวกเขาจะจดจำสิ่งต่างๆ ได้จากสีของวัตถุนั้นๆ โดยปกติแล้วเด็กจะเริ่มสังเกตความแตกต่างของสีได้เมื่ออายุประมาณ 4 เดือน โดยแยกเป็นแม่สีง่ายๆ เพียงไม่กี่สีก่อน จากนั้นจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ อาจสังเกตได้จากการที่เด็กแยกของเล่นเป็นกลุ่มตามสีต่างๆ ดังนั้นสีของห้อง อุปกรณ์ตกแต่งห้อง หรือของเล่นที่มีสีสันสะดุดตา เช่น สีแดง สีเหลือง สีชมพู จึงดึงดูดความสนใจจากเด็กได้มากกว่าสีที่จืดชืดหรือมืดจนเกินไป นอกจากสีที่สดใสจะทำให้เด็กอารมณ์ดีแล้ว ยังช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางสมองที่ดีขึ้นอีกด้วย การตกแต่งห้องของเด็กจึงควรเลือกสีที่เหมาะสมเพราะสีสามารถส่งผลต่ออารมณ์ของเด็กได้เช่นกัน


ใช้สีขาวเป็นพื้นให้ดูสงบ - เตียงสีเหลืองตัดกับสีขาว ทำให้ดูโดดเด่น

ใช้สีฟ้าทำให้ห้องดูสงบ เสาตกแต่งเป็นต้นไม้ ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ
ใช้สีเขียวพาสเทล ทำให้ห้องดูนุ่มนวล เด็กก็จะหลับสบาย
แทรกเฟอร์นิเจอร์สีไม้บีช ไปตัดกับสีม่วงทำให้ดูโดดเด่น


เจ้าตัวน้อยกับสีที่แตกต่าง
· สีขาว ทำให้รู้สึกสงบ สถานรับเลี้ยงเด็กส่วนมากจึงเลือกตกแต่งห้องนอนของเด็กด้วยโทนสีขาว ซึ่งนอกจากสีขาวธรรมดาแล้ว คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถเลือกเฉดสีที่แตกต่างกันไปได้ด้วย เช่น สีครีม ทำให้รู้สึกอบอุ่น
· สีฟ้า ปกติแล้วสีฟ้าทำให้รู้สึกมีพลัง แต่เฉดสีที่แตกต่างกันไปก็ให้ความรู้สึกที่หลากหลาย สีฟ้าอ่อนเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับเด็ก เพราะทำให้รู้สึกสงบมากกว่าสีฟ้าเข้มหรือสว่าง
· สีเขียว โดยเฉพาะสีเขียวอ่อน นอกจากจะมองแล้วสบายตา ยังทำให้เด็กรู้สึกสงบนอนหลับง่ายอีกด้วย
· สีชมพู สีม่วง และสีเหลือง หากใช้สีในกลุ่มนี้ควรเลือกโทนสีอ่อนเพราะจะทำให้เด็กรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น หากใช้โทนสีที่สว่างสะดุดตาจนเกินไปจะทำให้เด็กรู้สึกไม่สบายตาและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
· สีน้ำตาล เป็นสีที่ค่อนข้างได้รับความนิยมเพราะดูเรียบง่ายและกลมกลืนไปกับสีเอิร์ธโทน แต่หากใช้โทนสีเข้มมากเกินไปจะทำให้เด็กรู้สึกไม่สดใสเพราะห้องดูมืดทึมเกินไป
ส่วนสีที่ไม่แนะนำสำหรับห้องนอนคือสีส้มและสีแดง เพราะเป็นสีที่กระตุ้นความรู้สึกของเด็กมาก
เกินไป ทำให้หลับยาก เนื่องจากเป็นโทนสีที่สว่างมากไป แต่หากต้องการใช้ แนะนำให้ใช้ควบคู่กับสีแนวเอิร์ธโทนเพราะจะทำให้ได้สีที่สว่างดูเบาสบายตาขึ้น


การใช้โมบายของเล่นที่มีสีสันสดใส ช่วยให้สมองเด็กน้อยได้รู้จักการพัฒนาและแยกสี
ศิลปะกับสร้างพัฒนาการของเด็กด้วยสี
คุณพ่อคุณแม่สามารถพัฒนาประสาทการรับรู้ด้านสีของเด็กได้ด้วยการตกแต่งห้องของเด็กหรือทารกด้วยภาพศิลปะต่างๆ รวมถึงแขวนโมบายของเล่นที่มีสีสันสดใสไว้ เพื่อให้สมองของเด็กได้รู้จักพัฒนาและแยกแยะสีต่างๆ ได้เร็วขึ้น ทั้งยังทำให้เด็กสามารถจดจำวัตถุต่างๆ ได้ดีขึ้นอีกด้วย เพราะเด็กจะแยกประเภทสิ่งของตามสีที่มองเห็น การเลือกสีผนังหรือเตียงนอนเด็กให้สำรวจตัวเองก่อนว่าเลือกสีโทนนี้แล้วเกิดความรู้สึกหรืออารมณ์อย่างไร มีพลัง สงบ หรือสบายตา เพราะเด็กก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับสิ่งที่เรามองเห็น หากเป็นเด็กวัยอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษา การให้เขาได้ฝึกระบายสีจะช่วยให้เด็กรู้จักกับสีเพิ่มมากขึ้น และรู้จักคิดว่าทำอย่างไรจึงจะผสมสีให้ได้สีใหม่ นอกจากนี้การระบายสีหรือวาดภาพยังเป็นอีกวิธีหนึ่งที่เด็กใช้แสดงอารมณ์และความรู้สึกอย่างอิสระ บางครั้งเด็กไม่สามารถพูดอธิบายความรู้สึกของตนได้แต่ระบายออกมาผ่านการวาดภาพระบายสีแทน ทั้งยังเป็นการฝึกให้เด็กมีสมาธิยาวนานขึ้นอีกด้วย
เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว ต่อไปเวลาจะเลือกสีผนังหรือของเล่นต่างๆ ให้ลูกน้อย คุณก็สามารถใช้วิธีต่างๆ เหล่านี้เป็นเกณฑ์ในการเลือกผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้เจ้าตัวน้อยของคุณมีพัฒนาการที่สมบูรณ์สมกับวัยของพวกเขาเองครับ


แก้วน้ำใบโปรดอาจจะช่วยให้เด็กยอมทาน

เกร็ดความรู้เรื่องสีสำหรับเด็ก
· เด็กบางคนไม่ยอมทานข้าวหรือดื่มนม แต่ยอมทานเมื่อใส่ในถ้วยหรือแก้วน้ำใบโปรด หากลูกของคุณไม่ยอมแตะอาหาร ลองสังเกตพฤติกรรมของพวกเขาและใช้วิธีนี้ดู
· ผู้ปกครองควรสอนให้เด็กรู้จักกับลักษณะและชื่อของสีต่างๆ ตั้งแต่พวกเขายังเด็ก โดยเริ่มจากแม่สีต่างๆ ทั่วไปก่อน จากนั้นจึงเริ่มฝึกฝนให้เด็กบอกสีที่ถูกต้องของวัตถุชิ้นนั้นๆ เพราะเด็กบางคนที่เรียกชื่อสีผิด อาจจะไม่ได้มีความผิดปกติด้านสายตา แต่อาจเป็นเพียงเพราะเด็กยังไม่รู้จักชื่อที่ถูกต้องของสีนั้น
· สีสามารถใช้แทนวัตถุหรือความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของท้องถิ่นนั้นๆ การสอนให้เด็กรู้จักกับความแตกต่างของสีอาจทำได้ด้วยการกล่าวถึงฤดูกาลหรือความรู้สึกต่างๆ ว่าแทนสีอะไรได้บ้าง เช่น ด้านประสาทสัมผัส โดยทั่วไปสีแดงแทนความร้อนของไฟ ส่วนด้านความรู้สึก ในประเทศจีนสีแดงเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี สำหรับวัฒนธรรมตะวันตกสีฟ้าเป็นสัญลักษณ์ของความเศร้าหมอง เป็นต้น